การออกแบบและการพัฒนา ของ เอสเอช-60 ซีฮอว์ก

ต้นกำเนิด

ในทศวรรษที่ 2513 กองทัพเรือสหรัฐได้เริ่มมองหาเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่เพื่อเข้ามาแทนที่เอสเอช-2 ซีสไปรท์[2] ซีสไปรท์นั้นถูกใช้เพื่อเป็นฐานให้กับระบบอเนกประสงค์ทางอากาศขนาดเบา เป็นระบบอิเลคทรอนิกอากาศสำหรับสงครามทางทะเลและมีความสามารถรองคือการค้าหนและช่วยเหลือ ด้วยความก้าวหน้าในเซ็นเซอร์และระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่นำระบบดังกล่าวไปสู่รุ่นที่สอง แต่เอสเอช-2 ก็ไม่ใหญ่พอที่จะติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นได้หมด ในกลางทศวรรษที่ 2513 กองทัพได้ประเมินซิคอร์สกี้ วายยูเอช-60 และโบอิง-เวอร์ทอล วายยูเอช-31 ในการแข่งขันหาอากาศยานขนส่งแบบใหม่[3] กองทัพเรือมีความต้องการเดียวกับกองทัพบกเพื่อลดราคา[2] ซิคอร์สกี้และโบอิง-เวอร์ทอลได้ยื่นข้อเสนอให้กับกองทัพเรือโดยเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากของกองทัพบกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2520 กองทัพเรือยังได้มองหาเฮลิคอปเตอร์ที่ผลิตโดยเบลล์ คาแมน เวสท์แลนด์ และเอ็มบีบี แต่ก็ล้วนมีขนาดเล็กเกินไป พอต้นปีพ.ศ. 2521 กองทัพเรือได้เลือกการออกแบบเอส-70บีของซิคอร์สกี้[2] ซึ่งใช้ชื่อว่า"เอสเอช-60บี ซีฮอว์ก"

เอสเอช-60บี ซีฮอว์ก

ซีฮอว์กที่บินรอรับผู้บาดเจ็บที่ถูกหามมาบนเปล ทั้งหมดเป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น

เอสเอช-60บีนั้นมีความคล้ายคลึงกับยูเอช-60เอถึง 83%[4] การเปลี่ยนแปลงหลักการป้องกันการกัดกร่อน เครื่องยนต์ที700 ที่ทรงพลังมากขึ้น เลื่อนตำแหน่งของล้อหลังไปด้านหน้า 13 ฟุต แทนที่ประตูด้านข้างด้วยโครงสร้างลำตัว และเพื่อจุดติดอาวุธเข้าไปสองตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงส่วนอื่นๆ ก็มีทั้งเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น ระบบับเก็บใบพัดด้วยไฟฟ้า ครีบหางที่พับเก็บได้ และท่อปล่อยกระบอกโซนาร์ 25 ท่อที่ด้านข้าง การเปลี่ยนตำแหน่งของล้อด้านหลังทำให้ลดรอยขูดขีดที่เกิดขึ้นเมื่อจอดลงบนดาดฟ้าเรือ[5]

มีวายเอสเอช-60บี ซีฮอว์ก แลมป์ส 3 ที่เป็นต้นแบบ 5 ลำถูกสั่งซื้อ วายเอสเอช-60บีทำการบินครั้งแรกในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เอสเอช-60บีที่เป็นรุ่นผลิตนั้นทำการบินครั้งแรกในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2527 โดยใช้งานครั้งแรกในปีพ.ศ. 2528[3]

เอสเอช-60บี แลมป์ส 3 จะถูกใช้บนเรือฟริเกต เรือพิฆาต และเรือลาดตระเวนเป็นหลัก ภารกิจหลักของมันคือสงครามทำลายกำลังพื้นผิวและการปราบเรือดำน้ำ

เอสเอช-60บีมีระบบเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนรวมทั้งเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็กหรือแมด (Magnetic Anomaly Detector, MAD) และกระบอกโซนาร์ เซ็นเซอร์อื่นๆ รวมทั้งเรดาร์ค้นหาเอพีเอส-124 ระบบอีเอสเอ็ม เอแอลคิว-142 และป้อมอินฟราเรดส่วนหน้าตรงปลายจมูก มันบรรทุกตอร์ปิโดมาร์ก 46 มาร์ก 50 หรือมาร์ก 54 ขีปนาวุธเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์ และปืนกล เอ็ม60/เอ็ม240 ขนาด 7.62 หรือปืนกลจีเอยู-16 ขนาด 12.7 ม.ม.

เอสเอช-60บีต้องการนักบินเพียงหนึ่งนายและผู้ควบคุมระบบการสงครามหรือเซ็นเซอร์อีกหนึ่งนาย

เอสเอช-60เจเป็นรุ่นหนึ่งของเอสเอช-60บีที่ผลิตมาเพื่อกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น เอสเอช-60เคเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากเอสเอช-60เจ เอสเอช-60เจและเคถูกสร้างขึ้นภายใต้ใบอนุญาตโดยอุตสาหกรรมิตซูบิชิในญี่ปุ่น[6][7]

เอสเอช-60เอฟ โอเชียนฮอว์ก

หลังจากที่เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการ กองทัพเรือก็เริ่มทำการพัฒนาเอสเอช-60เอฟขึ้นมาเพื่อแทนที่เอสเอช-3 ซีคิง[8] การพัฒนาเริ่มขึ้นเมื่อได้ทำสัญญากับซิคอร์สกี้เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 เอสเอช060บีแบบแรกๆ นั้นถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรุ่นเอฟ บริษัทได้ผลิตรุ่นเอฟออกมา 7 ลำในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 และทำการบนทดสอบครั้งแรกในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2530[9]

เอสเอช-60เอฟทำหน้าที่ในหมวดเรือบรรทุกเครื่องบิน มันมีภารกิจหลักในสงครามปราบเรือดำน้ำและเป็นเฮลิคอปเตอร์ในการค้นหาและช่วยเหลือ มันจะล่าเรือดำน้ำด้วยการหย่อนโซนาร์เอเอ็น/เอคิวเอส-13 และมีโซนาร์กระบอก 14 กระบอก เอสเอช-60เอฟมีตอร์ปิโด มาร์ก 46 และปืนกลที่ประตู อาจเป็นเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-16 มันมีนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย ผู้ควบคุมเซ็นเซอร์ยุทธวิธีหนึ่งนาย และผู้ควบคุมเซ็นเซอร์เสียงอีกหนึ่งนาย

เอสเอช-60เอฟเข้าประจำการครั้งแรกในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2532[10] ฝูงบินเอสเอช-60เอฟจะเปลี่ยนมาใช้เอสเอช-60เอสในปีพ.ศ. 2552[11]

เอชเอช-60เอช เรสคิวฮอว์ก

เอชเอช-60เอชพร้อมนักดำน้ำค้นหาและช่วยเหลือ

เอชเอช-60เอชทำการพัฒนาขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2529 โดยในสัญญาจะผลิตออกมา 5 ลำ มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เอชเอช-60เอชถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับเอชเอช-60 เจย์ฮอว์กของยามชายฝั่งสหรัฐ การส่งมอบเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2532 พวกมันเริ่มปฏิบัติการได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533[9]

มันมีพื้นฐานมาจากเอสเอช-60เอฟ ทำให้มันมีหน้าที่หลักในการค้นหาและช่วยเหลือการรบ การรบพิเศษทางทะเล และสงครามทำลายกำลังพื้นผิว มันมีเซ็นเซอร์แบบรุกและป้องกันมากมาย จึงทำให้มันเป็นหนึ่งในเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่รอดได้ดีที่สุดในโลก เซ็นเซอร์นั้นประกอบด้วยป้อมออนฟราเรดหน้าที่มีเลเซอร์ระบบุตำแหน่งและอุปกรณ์ช่วยชีวิต โดยมีเครื่องรบกวนอินฟราเรดเอเแอลคิว-144 เครื่องตรวจจับเลเซอร์เอวีอาร์-2 เครื่องตรวจจับเรดาร์เอพีอาร์-39(วี)2 เครื่องตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธเอเออาร์-7 และเครื่องปล่อยพลุล่อเป้าเอแอลอี-47 นอกจากนี้แล้วมันยังได้รับการพัฒนาด้านโครงสร้างของตัวสะท้อนไอเสียเครื่องยนต์ที่จะลดความร้อนซึ่งขีปนาวุธติดตามความร้อนมักมองหา เอชเอช-60เอชสามารถติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ได้ถึง 4 ลูกบนปีกโดยใช้เครื่องยิงแบบเอ็ม299 และยังมีหน้าต่างที่หลากหลายเพื่อติดตั้งปืนกลอย่างเอ็ม60ดี เอ็ม240 จีเอยู-16 และจีเอยู-17/เอ ลูกเรือจะประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และพลปืนประจำประตูสองนาย

เอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ก

เอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ก (MH-60S Knighthawk) ที่กำลังส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง

กองทัพเรือได้ติดสินใจว่าจะแทนที่ซีเอช-46 ซีไนท์ของพวกเขาในปีพ.ศ. 2540 หลังจากมีการสาธิตยูเอช-60 ที่ถูกดัดแปลง กองทัพเรือก็ทำสัญญาให้มีการผลิตซีเอช-60 ในปีพ.ศ. 2541 มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2543 และเริ่มทำการบินทดสอบในปีต่อมา ซีเอช-60 ถูกตั้งชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอสในเดือนมกราคม พ.ศ. 2544[10]

เอ็มเอช-60เอสนั้นมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลและมีจุดเด่นมากมายจากเอสเอช-60[12] มันถูกใช้งานบนเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกและเรือเร็วสนับสนุนการรบ มันมีสองภารกิจ คือ ขนส่งทหารและการส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง แต่ก็สามารถทำหน้าที่ค้นหาและช่วยเหลือได้เช่นกัน เอ็มเอช-60เอสไม่มีเซ็นเซอร์ด้านการรุกแต่มีเครื่องรบกวนเรดาร์เอแอลคิว-144 ในอนาคตมันจะมีระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเอคิวเอส-20เอและระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเลเซอร์ทางอากาศสำหรับการระบุวัตถุที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำ รุ่นเอสนั้นเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบแรกของกองทัพเรือสหรัฐที่ใช้ห้องนักบินแก้วซึ่งข้อมูลการบินจะถูกส่งให้กับนักบินผ่านทางหน้าจอดิจิตอลแทนที่จะใช้เกจ์ธรรมดา การป้องกันหลักของมันคือปืนกลเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-17/เอ ปีกของมันมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลของกองทัพบกเพื่อติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ ไฮดรา 70 หรืออาวุธที่ใหญ่กว่านั้น

เอ็มเอช-60เอสรู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า"ไนท์ฮอว์ก" (Knighthawk) เพื่อสะท้อนการสืบทอดตำแหน่งจาก"ซีไนท์" (Sea Knight) แม้ว่าชื่อดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติเพื่อมีชื่อ"ซีฮอว์ก"แล้ว[13][14] ลูกเรือของซีไนท์ประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และทหารอีกสองนายที่ขึ้นอยู่กับภารกิจ ฝูงบินที่ใช้เอ็มเอช-60เอสถูกตั้งชื่อใหม่เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีทางทะเล (Helicopter Sea Combat, HSC)[15]

มันไม่เหมือนกับเอช-60 ทั้งหมดของกองทัพเรือ เอ็มเอช-60เอสนั้นไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเอส-70บี/เอสเอช-60บีที่มันมีล้อคู่ด้านท้ายที่เยื้องไปทางด้านหน้าและประตูเลื่อนเพียงด้านเดียว แทนที่จะเป็นเช่นนั้นรุ่นเอสเป็นแบบผสม มันมีจุดเด่นที่โครงสร้างหลักของเอส-70เอ/ยูเอช-60 โดยมีประตูเลื่อนทั้งสองด้านและล้อเพียงอันเดียวที่เยื้องไปด้านหลัง และเครื่องยนต์กับใบพัดนั้นมาจากเอส-70บี/เอสเอช-60[16]

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 สาธารณรัฐเกาหลีได้ร้องของเอ็มเอช-60เอส 8 ลำ เครื่องยนต์จีอี ที700-401ซี 16 เครื่อง และระบบเซ็นเซอร์สัมพันธ์ ซึ่งจะขายในการขายทางกองทัพข้ามประเทศ [17]

เอ็มเอช-60อาร์ ซีฮอว์ก

เอ็มเอช-60อาร์กำลังใช้โซนาร์

เดิมทีนั้นเอ็มเอช-60อาร์คือ"การพัฒนาแลมป์ส มาร์ก 3 บล็อก 2" (LAMPS Mark III Block II Upgrade) เมื่อมันเริ่มพัฒนาในปีพ.ศ. 2536 เอสเอช-60บีสองลำถูกดัดแปลงโดยซิคอร์สกี้เพื่อโครงการดังกล่าว เอสเอช-60 ลำแรกที่ถูกดัดแปลงทำการบินครั้งแรกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2542 การดัดแปลงทำให้มันได้ชื่อว่าวายเอสเอช-60เอส มันถูกส่งมอบเพื่อทำการทดสอบในปีพ.ศ. 2544 แบบสำหรับการผลิตได้รับชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอส[18]

เอ็มเอช-60อาร์ถูกออกแบบมาโดยผสมลักษณะเด่นของเอสเอช-60บีและเอสเอช-60เอฟ[19] เซ็นเซอร์ของมันมีทั้งชุดเอเอสอี อินฟราเรดหน้า การเชื่อมโยงข้อมูลทางอากาศที่ก้าวหน้า และโซนาร์ทางอากาศแบบใหม่ มันไม่มีเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็ก นักบินจะอยู่ในห้องนักบินแก้วแบบเดียวกับเอ็มเอช-60เอส ซึ่งใช้หน้าจอดิจิตอลแทนที่จะเป็นเกจ์วัด ความสามารถในการรุกของมันเพิ่มขึ้นโดยมีตอร์ปิโด มาร์ก 54 และขีปนาวุธเฮลไฟร์

รุ่นอาร์ทำการส่งมอบในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 และเริ่มทำการฝึกนักบิน ในปีพ.ศ. 2550 เอ็มเอช-60 ก็เข้าสู่การทดสอบสุดท้ายเพื่อเข้าทำงานในกองบิน เมื่อถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 มันถูกส่งไปประจำการบนเรือยูเอสเอส จอห์น ซี. สเตนนิส ตามที่ล็อกฮีด มาร์ตินอ้าง "ภารกิจรองของมันคือการค้นหาและช่วยเหลือ การเพิ่มเติมกำลังในแนวดิ่ง การยิงสนับสนุนพื้วผิวทะเล การสนับสนุนทางจำนวน ยานลำเลียงพล การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และการสื่อสารและส่งข้อมูล"[20]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอสเอช-60 ซีฮอว์ก http://www.deagel.com/Tactical-Support-Helicopters... http://www.defenseindustrydaily.com/2006/04/up-to-... http://www.flightglobal.com/assets/getasset.aspx?I... http://www.janes.com/articles/Janes-Helicopter-Mar... http://www.janes.com/extracts/extract/jau/jau_0953... http://www.lockheedmartin.com/news/press_releases/... http://www.naval-technology.com/projects/mh_60s/ http://sikorsky.com/sik/products/military/seahawk/... http://www.sikorsky.com/StaticFiles/Sikorsky/Asset... http://www.sikorsky.com/news_index/1,9599,CLI1_DIV...